จัดพอร์ตสำเร็จรูปกันดีกว่า

วันนี้นึกพอร์ตสำเร็จรูปได้รูปแบบหนึ่ง เผื่อใครมือใหม่หรือยังไม่มีไอเดีย ก็สามารถลอกและนำไปดัดแปลงใช้ได้เลยครับ โดยที่พอร์ตที่จะแนะนำวันนี้จะจัดเริ่มต้นแบบเสี่ยงปานกลางและเน้น Passive Income ในระยะยาวอีกด้วย แถมสามารถปรุงแต่งเพิ่มเติมตามไลฟ์สไตล์ของท่านได้ง่ายๆอีก (โม้ไปนั่น) มามา ตามผมมา

เริ่มต้นเราจะจัดพอร์ตด้วยสินทรัพย์สี่ชนิดด้วยกันคือ

  • ตราสารหนี้ไทย
  • กอง Reit (สินทรัพย์ทางเลือก)
  • หุ้นไทย
  • หุ้นนอก

โดยเราจะลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้เท่าๆกัน ก็ตกอย่างละ 25% หากคิดสัดส่วนที่เป็นหุ้นก็ตกที่ 50% เท่านั้นเอง จัดว่าเป็นพอร์ตแบบ Moderate ไม่เสี่ยงมากนัก ในส่วนที่ไม่ใช่หุ้น เราก็เลือกลงใน Reit ด้วย แทนที่จะลงแต่ตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว ทั้งนี้เพิ่อเพิ่มกระแสเงินสดหรือปันผลครับ แล้วในแต่ละสินทรัพย์ย่อยเราจะเลือกกองทุนไหนเป็นตัวแทนดี มาลอก เอ้ย มาดูกัน

ตราสารหนี้ไทย (T-TSARN)

ในส่วนของตราสารหนี้ไทยนั้น ขอเลือก T-TSARN เพราะว่ามีปันผลด้วย หากลงทุนสั้นๆก็อาจจะผันผวนเล็กน้อย แต่ยาวๆก็ถือว่าใช้ได้ ไปดูประวัติการจ่ายปันผลกัน

ตัวเล็กหน่อยนะ กดดูเพื่อขยายใหญ่ได้ แต่จริงๆแค่อยากให้เห็นว่าเขาจ่ายสม่ำเสมอหน่ะ ตราสารหนี้มันเสี่ยงต่ำโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ก็ไม่น่ามีปัญหาในการปันผลแต่อย่างใด หากใครไม่ต้องการปันผล ก็สามารถใช้กองอื่นๆทดแทนได้ เช่น T-TSB, KFAFIX เป็นต้น ใครจะเลือกกองสั้นกองยาว ก็ปรับเองได้เลยครับ แต่ที่เลือกมาจะเน้นการลงทุนยาวววๆเป็นหลัก อ่อ ส่วนปันผลสำคัญยังไง เดี๋ยวจะไปสรุปข้างใต้อีกทีนะ

กอง Reit (TMBPIPF)

ในส่วนของกอง Reit เลือก TMBPIPF เพราะว่ามีการกระจายไปลงสิงคโปร์ด้วย กอง Reit ในไทย ทางเลือกมันยังน้อยไปอยู่ กองทุน Reit นั้นไม่มีปัญหาเรื่องการจ่ายปันผลอยู่แล้ว เพราะตัวหุ้นที่เขาถือก็ปันผลเป็นประจำทุกไตรมาสอยู่แล้ว ก็อยู่ที่ทางกองทุนจะจัดสรรมาปันเรามากน้อยเพียงใด ไปดูประวัติการจ่ายปันผลของกองนี้กัน

เรียกได้ว่าจ่ายทุกไตรมาสเลย หากไม่ชอบกองนี้ก็อาจใช้กองอื่นได้เช่น K-PROP, CIMB iPROP ก็ได้ หรือใครจะเน้นลงแต่ใน Reit ไทยก็มีลองไปหาๆดูครับ แต่ผมชอบกระจายมากกว่า เพราะเวลาที่ไทยไม่ดี ทางสิงคโปร์อาจจะดีก็ได้

หุ้นไทย (T-DIV2)

กองหุ้นไทยเน้นไปที่หุ้นใหญ่และเป็นหุ้นปันผล จึงเลือกกอง T-DIV2 ที่เน้นไปที่หุ้นปันผลในกลุ่ม SET100 เป็นหลัก แม้ว่ากองที่เน้นจ่ายปันผลจะมีเยอะแยะมากมาย แต่หุ้นที่เขาเลือกอาจจะเป็นหุ้นเติบโตก็ได้ แต่เขาเอากำไรราคาหุ้นมาจ่ายปันผลเรา ทีนี้ที่เลือกเน้นหุ้นปันผลเพราะ มันจะผันผวนต่ำกว่าตลาดเล็กน้อย ไปดูการจ่ายปันผลกันดีกว่า

นี่ก็จ่ายกันทุกไตรมาสเลย แต่อย่างว่า กองเพิ่งเปิดไม่นาน จังหวะหุ้นขาขึ้นพอดี ถ้าหุ้นเป็นขาลงก็คงไม่น่าจะจ่ายทุกไตรมาสอยู่แล้ว ส่วนใครที่อยากได้สไตล์อื่นก็มีกองทุนไทยให้เลือกเยอะแยะมากมาย แต่พอร์ตเริ่มต้นนี้ผมขอเน้นไปที่การสร้าง Passive Income ก่อน โอเคนะ

หุ้นนอก (KF-GBRAND)

หุ้นนอกนี่ไม่ต้องคิดไรมาก เลือกกอง Global เลย โดยธรรมชาติกอง Global จะลงในอเมริกามากกว่า 50% อยู่แล้ว ที่เหลือก็กระจายกันออกไป ทีนี้ในเมื่อเราจะเลือกกองเดียว อันที่จริงก็ไม่ควรเลือกแบบมีธีม เช่น Healthcare, Technology แต่ที่เลือกกอง KF-GBRAND เพราะแม้จะเป็นธีมมีแบรนด์ แต่เซกเตอร์กลุ่มอุตสาหกรรมก็ไม่ได้กระจุกตัวนัก เน้นลงส่วนใหญที่อุตสาหกรรม Consumer staples พวกที่ต้องกินต้องใช่ เช่น สบู่ แชมพู ขนม ค้าปลีก ซึ่งมันเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผันผวนต่ำกว่า ในปี 2008 ที่หุ้นโลกลงไป -40% กองแม่ของกองนี้ก็ลงไปแค่ -20% เท่านั้น (แต่เวลารีบาวน์ก็รีบาวน์ได้น้อยกว่านะ) ลองดูปันผลเขาซิ

กองเพิ่งเปิดไม่นานครับ แต่กองหุ้นนี่ บอกได้เลยว่า ปีไหนหุ้นดีก็จ่ายปันดี ปีไหนแย่ก็ไม่จ่าย เว้นแต่มีกำไรสะสมมากพอ แต่ต้องไม่ลืมว่าปีที่หุ้นลงมันน้อยกว่าปีที่หุ้นขึ้น ไปดูย้อนหลังได้เลย ส่วนใครที่ไม่ชอบธีมของกองนี้ ก็มีกองอื่นๆอีกมากมายให้เลือก เอาที่มีปันผลและเป็นกอง Global ก็ได้แก่ SCBLEQ, K-GLOBE เป็นต้น (อ่อ ลืมพูด การที่เรากระจายลงหุ้นต่างประเทศก็เพื่อลดความผันผวนลง เพราะปีที่หุ้นไทยไม่ดี หุ้นนอกอาจจะดีก็ได้ แต่ไม่ได้ลดความเสี่ยงนะ มันก็หุ้นเหมือนกัน)

เป็นไงกันบ้างพอร์ตที่แนะนำ จะเห็นได้ว่าผมเน้นไปที่ปันผลและจัดน้ำหนักให้ไม่เสี่ยงมากจนเกินไป ดังนั้นท่านสามารถเอาไปใช้เป็นพอร์ตอินคัมหรือพอร์ตเพื่อการเกษียณได้เลย ส่วนวิธีการซื้อ หากใครจับจังหวะไม่เป็นก็ใช้วิธีการทยอยซื้อหรือ DCA ไปก็ได้ ถึงตรงนี้ท่านอาจสงสัยว่า ถ้าจะจัดพอร์ตแบบนี้เพื่อการเกษียณ ทำไมถึงเลือกแบบมีปันผลหล่ะ? เพราะมือใหม่มักทำ Rebalancing ไม่เป็น อันนี้แหละหัวใจการลงทุนเลย นานๆไปสัดส่วนมันจะเพี๊ยนครับ เพราะหุ้นมันโตเร็ว ดังนั้นหากท่านยังไม่จำเป็นต้องใช้ปันผล ท่านก็รวบรวมเอามาลงทุนใน 4 กองที่ว่านี้ใหม่ โดยดูว่า NAV กองไหนสัดส่วนมันน้อยกว่าเพื่อน ท่านก็ซื้ออันนั้นแหละ มันจึงเป็นการบังคับการทำ “ซื้อถูกขายแพงไปในตัวครับ” นึกภาพออกมั้ย ถ้าหุ้นมันขึ้นเยอะ เขาก็ปันเราเยอะ เราก็เอาปันผลไปโป๊ะตราสารหนี้ โป๊ะกอง REIT แต่ในปีที่หุ้นบันเทิง เอ้ย บรรลัย ลงเทกระจาดระเนระนาด ท่านก็เอาปันผลไปโป๊ะกองหุ้น ก็เหมือนได้ซื้อของถูกนั่นเองครับ^^

สุดท้ายท่านเอาไปปรับใช้นะ ถ้าคิดว่าหุ้นไทยและนอกรวม 50% เสี่ยงเกินไป ก็ปรับลดเองแล้วกัน ไม่มีอะไรตายตัว ใครอยากซื้อสินทรัพย์ละหลายๆกอง เพื่อให้มันช่วยกันทำงานเผื่อผลงานมันขึ้นๆลงๆก็ทำได้เช่นกัน ถ้าท่านไม่งงซะเอง เท่านี้ท่านก็จะได้พอร์ต Passive Income มาครอบครองแล้ว สุดท้ายของสุดท้าย ระยะเวลาที่ยาวนานเพียงพอเท่านั้นถึงจะทำให้พอร์ตท่านประสบผลสำเร็จได้ครับ ^^

 

ปูลู การจะปั้นพอร์ตระยะยาว ท่านไม่ควรซื้อๆขายๆนะ มันควรจะเป็น “ลงซื้อ ขึ้นไม่ขายหรือขายนิดหน่อย” มากกว่า เพราะส่วนใหญ่ทำก็ผิด ท่านไม่ใช่เซียนเทคนิค มีแต่จะซื้อไฮขายโลว์ ขายแล้ววิ่งซะมากกว่า ลองคิดดูว่าถ้าท่านมีพอร์ตที่ใหญ่มากพอ เงินปันผลเพียงพอต่อการดำรงชีพได้ ชีวิตท่านก็สบายครับ

ปูลู2 ฝรั่งเรียกพอร์ตที่ลงหุ้น/ตราสารหนี้ 50/50 แบบนี้ว่า Balanced Portfolio ซึ่งว่ากันว่าคลาสสิกและให้ผลลัพธ์ดีมากเลย แต่ท่านต้องหมั่นทำ Rebalancing ให้ดี ลองไปดูผมเคยทำตัวเลขให้ดูแล้วนะ แต่พอร์ตวันนี้เป็นเหมือน Balanced Plus คือเอา Reit มาช่วยด้วยครับ คริๆ